เคยเจอปัญหาเหล่านี้กันหรือเปล่า? รถสตาร์ทไม่ติด หรือ ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ทำงานได้ช้ากว่าปกติ อาจเกิดได้จาก ‘แบตเตอรี่รถยนต์’ หมด หรือ เสื่อมสภาพ หากจะต้องเปลี่ยนใหม่ รถของเราต้องใช้แบตเตอรี่ความจุเท่าไหร่ มีวิธีการดูแลรักษายังไงให้ใช้ได้นานๆ Mazda City จะมาอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
อธิบายคร่าวๆ ก่อนว่า แบตเตอรี่รถยนต์จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าสำรอง เมื่อใดก็ตามที่ไดชาร์จ (เครื่องปั่นไฟในรถ) ที่เป็นอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทัน ยกตัวอย่างเช่น การขับขี่ในเวลากลางคืนที่ทำให้ใช้ระบบไฟมากกว่าปกติ กรณีนี้ก็จะไปดึงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มาใช้ ขณะเดียวกันถ้าไดชาร์จทำงานได้ดี หมุนเร็วขึ้น ทำให้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากก็จะมีกระแสไฟฟ้าเหลือจากการใช้งาน ซึ่งจะถูกส่งกลับไปเก็บเป็นพลังงานสำรองที่แบตเตอรี่จนกว่าจะเต็ม ซึ่งก็หมายความว่า ในขณะที่เครื่องยนต์สตาร์ทติดและทำงาน ไดชาร์จทำหน้าที่ปะจุไฟเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง กระแสไฟถูกจ่ายออกไปและถูกประจุเข้า หมุนเวียนเข้าออกตัวแบตเตอรี่รถยนต์อยู่เสมอ
เอ้า! แบบนี้ก็ดูเหมือนว่าแบตเตอรี่ไม่น่าจะหมดได้ไม่ใช่หรอ?
ใช่แล้วล่ะ! แต่ก็มีกรณีที่ทำให้ไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมดได้เหมือนกันนะ ถ้าหากว่ารถยนต์ของเราจอดนิ่งๆ นานเป็นสัปดาห์ หรือ ตัวไดชาร์จผิดปกติ ทำให้ผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งานในระบบต่างๆ ภายในตัวรถ ก็จะมีการดึงไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ไปใช้เรื่อยๆ จนหมด ต้องซ่อมระบบไดชาร์จหรือใช้วิธีชาร์จเร็ว ซึ่งต้องนำรถเข้าศูนย์ซ่อม หรืออีกวิธีคือจั้มแบตทำให้เครื่องยนต์ติด แล้วให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ สามารถอ่าน วิธีการจั้มแบตรถยนต์ ได้เลย แต่วิธีนี้ไม่แนะนำให้ทำบ่อยเพราะอาจจะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นลงได้ค่ะ อีกกรณีที่ทำให้แบตเตอรี่ไม่เหลือไฟฟ้าอยู่เลยก็คือ แบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุการใช้งาน หรือ เสื่อมสภาพ ทำให้ไม่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้อีกต่อไป ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตแล้วล่ะ
แบตเตอรี่รถยนต์ ปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5 – 2 ปี หลังจากวันผลิต หรือ 40,000 กิโลเมตร แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของเราด้วย ดังนั้น ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่ควรใช้งานนานกว่า 3 ปี
แล้วจะเลือกซื้อแบตเตอรี่แบบไหนดีนะ?
วิธีการเลือกซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ที่ทำให้ได้ของใหม่ ควรซื้อจากตัวแทนจำหน่ายโดยตรงจากโรงงาน และทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ควรเช็กดูตัวเลขที่อยู่กับตัวแบตเตอรี่ด้วยนะ ตามรูปด้านล่างนี้เลยค่ะ
แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ มีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด
- แบตเตอรี่น้ำ เป็นประเภทแบตเตอรี่ดั้งเดิม ราคาจะถูกกว่า อายุการใช้งานจะนานกว่าเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ชนิดอื่น แต่แบตเตอรี่ชนิดนี้ต้องหมั่นดูแลบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับอยู่เสมอ
- แบตเตอรี่ไฮบริด เป็นประเภทแบตเตอรี่ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติม เติมน้ำกลั่นบ้าง ประมาณ 6 – 9 เดือนต่อ 1 ครั้ง แรงสตาร์ทจะมีมากกว่าประเภทแบตเตอรี่น้ำ
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง เป็นแบตเตอรี่แห้งที่ยังสามารถเติมน้ำได้นั้น มีการพัฒนาตัวแผ่นธาตุ การเดินโครงตะกั่ว ส่วนผสมเพิ่มเติม และ ระบบฝาสองชั้น ทำให้สามารถลดการสูญเสียของน้ำกรดไปได้ค่อนข้างสูง แอมป์สูงขึ้น แรงสตาร์ทมาก เช็กระดับน้ำกลั่นปีละ 1 ครั้ง ราคาไม่แตกต่างกับแบตเตอรี่ชนิดอื่นมากนัก
- แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเลยตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องคอยเช็ก แอมป์สูง แรงสตาร์ทมาก รับประกันนานที่สุด (ในบางยี่ห้อ) แต่ก็มีข้อที่ด้อยกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำคือ ราคาสูงและไม่สามารถสต๊อกไว้ได้นาน
ประเภทของแบตเตอรี่ที่นิยมใช้กันในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นแบบกึ่งแห้ง เนื่องจากราคาไม่สูงมากและไม่ต้องคอยเช็กคอยเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ
สำหรับรถยนต์มาสด้าควรเลือกใช้แบตเตอรี่ความจุตามนี้เลยค่ะ
Mazda 2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1,299 ซีซี และ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1,499 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 35 – 45 แอมป์
Mazda 3 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1,998 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 45 – 60 แอมป์
CX-3 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1,998 ซีซี และ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1,499 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 45 – 60 แอมป์
CX-5 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1,998 ซีซี, เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซินเทอร์โบ 2,488 ซีซี และ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2,191 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 60 – 80 แอมป์
CX-8 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2,488 ซีซี และ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2,191 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 60 – 80 แอมป์
CX-30 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1,998 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 45 – 60 แอมป์
BT-50 เครื่องยนต์เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์, VN เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ 2,198 ซีซี และ 3,198 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 60 – 100 แอมป์
MX-5 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1,998 ซีซี ควรใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุของแอมป์ 45 – 60 แอมป์
วิธีการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
- เติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับเสมอ ในแบตเตอรี่แต่ละรุ่นจะมีตาแมว ให้สังเกตไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ตามรูปค่ะ
- แบตเตอรี่แบบน้ำ ให้ดูระดับน้ำทุกสัปดาห์
- แบตเตอรี่แบบไฮบริด ให้ดูระดับน้ำทุก 6 เดือน
- แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง ให้ดูระดับน้ำทุก 1 ปี
- แบตเตอรี่แบบแห้ง ไม่ต้องดูระดับน้ำ
- ตรวจดูและปิดสวิทซ์ไฟทุกครั้งหลังดับเครื่องยนต์
- ไม่ได้ใช้แบตเตอรี่นานควรติดเครื่องยนต์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง
- ตรวจสายไฟ ตรวจระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ ทุกๆ 6 เดือน
- ไดชาร์จ หรือ ไดนาโมรถยนต์ชำรุด ไม่ทำงาน สังเกตได้จากไฟแจ้งเตือนรูปแบตเตอรี่โชว์ขึ้นที่หน้าปัด หรือ รอบเครื่องยนต์ตก เร่งไม่ไปจนเครื่องยนต์ดับ ก็เดาได้เลยว่าอาจจะมีปัญหา ให้ซ่อมแซมพร้อมกับอัดไฟแบตเตอรี่
- ขั้วต่อแบตเตอรี่ไม่แน่น หลวม หรือชำรุด จะทำให้กระแสไฟในรถไม่สม่ำเสมอ เกิดการกระชาก ระบบไฟฟ้าในรถยนต์หยุดทำงาน รถที่วิ่งอยู่อาจจะดับกลางทางได้ บางกรณีอาจทำให้ขั้วแบตละลายได้เลย แนะนำให้เปลี่ยนขั้วใหม่ หากเชี่ยวชาญก็แนะนำให้ใช้วิธีตอกน็อตหรือขันน็อตลงไปที่ขั้วแบตให้แน่นขึ้น
- ดูแลแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ กรณีหากเกิดขี้เกลือ (ลักษณะคล้ายผงแป้งสีขาว หรือ ฟ้า) ที่ขั้วของแบตเตอรี่ ให้ถอดขั้วออก ทำความสะอาดทั้งขั้วบนแบตเตอรี่และขั้วบนสายไฟฟ้า พร้อมเคลือบด้วยจาระบีหรือน้ำมันเครื่อง หากไม่มีความรู้เรื่องกลไก ใช้น้ำอุ่นราดผ่านก็เพียงพอในระดับหนึ่งค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.batteryok.net
สามารติดตามข้อมูล โปรโมชั่น มาสด้า ได้ตามช่องทางนี้เลย!! ส่วนลดสูงสุดมาสด้าโปรดีสุดในประเทศ
—— Mazda City ยินดีให้บริการ ——
Related posts:
การเลือกซื้อรถคันแรกทำให้เราต้องหารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนเพื่อเป็นตัวช่วยการตัดสินใจ และทำให้เรามั่นใ...
ควรเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินรถยนต์เมื่อไหร่?
รีวิว New Mazda CX-30 รุ่นใหม่ 2022 รถครอสโอเวอร์เอสยูวี ที่พร้อมเติมเต็มความหมายให้กับทุกด้านของชีว...